การติดตามช่วยเหลือ เที่ยวบิน MH370 (มาเลเซีย) 01.7 นาทมี สัญญาณครั้งสุดท้าย หลายฝ่ายยังทำงานยังทำงานอย่างหนัก ล่าสุด USA ได้สันนิฐานว่า เครื่องบิน อาจจะตกที่คาบสมุทรอินเดีย
อย่างไรก็ตามข้อมูลภารกิจการติดตามค้นหา ต้องรอการสรุปจากทางมาเลเซีย
ข้อมูลมหาสมุทรอินเดีย
มหาสมุทรอินเดีย เป็นมหาสมุทรที่มีขนาดเล็กที่สุด
มีเนื้อที่ประมาณ 74 ล้านตารางกิโลเมตร คิดเป็น 20.6
เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่มหาสมุทรทั้งหมดและ 14.5
เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ผิวโลกทั้งหมด โดยส่วนใหญ่จะอยู่ทางซีกโลกใต้
มีอาณาเขตดังนี้
เนื่องจากมหาสมุทรอินเดียมีทวีปใหญ่คือทวีปเอเซียและแอฟริกาอยู่ทางตอนบนจึง
ทำให้ลักษณะดินฟ้าอากาศบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรจนถึงละติจูด 25
องศาเหนือมีความแตกต่างกันมากในรอบปี โดยเฉพาะในทิศทางลมโดยจะมีลมมรสุม
(monsoon) ประจำ 2 ฤดูในแต่ละปี มหาสมุทรอินเดียมีความลึกโดยเฉลี่ย 3,963
เมตร (12,999 ฟุต) มีแม่น้ำใหญ่ไหลลงทางตอนเหนือ
ทะเลขอบมหาสมุทรที่สำคัญได้แก่ทะเลอันดามัน (Andaman Sea) และทะเลแดง (Red
sea) เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีแหล่งน้ำบางแห่งที่แม้ว่าจะมองไม่เห็นทางติดต่อกับมหาสมุทร
อย่างชัดเจน แต่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทร
แต่ถูกแยกตัวเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกเช่น ทะเลดำ (Black Sea)
เชื่อมต่อทะเลเมดิเตอเรเนียนโดยช่องทางแคบ ๆ มีความกว้างประมาณ 700 เมตร
และลึกประมาณ 40
เมตรซึ่งเป็นช่องทางที่ไม่อำนวยให้มีการแลกเปลี่ยนคุณสมบัติระหว่างแหล่งน้ำ
ทั้งสองมากนัก และทะเลสาบแคสเปียน (Caspian Sea)
ซึ่งเชื่อว่าเคยเป็นส่วนของมหาสมุทรที่แยกตัวในตอนหลัง
และมีการแยกตัวในตอนหลังซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผิวเปลือกโลกและระดับ
น้ำของมหาสมุทร
เนื่องจากแอ่งมหาสมุทรมีการเชื่อมโยงติดต่อกันทั้งหมด
ดังนั้นขบวนการใดก็ตามที่เกิดขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของมหาสมุทรย่อมมีผลต่อ
ไปยังส่วนอื่น ๆ ได้ในที่สุด ตัวอย่างเช่น
การที่ภูมิอากาศบริเวณทะเลเมดิเตอเรเนียนมีลักษณะร้อนและแห้งแล้งจะทำให้น้ำ
ระเหยได้ง่าย
ทำให้น้ำบริเวณนี้มีความเค็มจัดจึงจมตัวลงและไหลออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติก
ผ่านช่องแคบยิบรอลต้า (Gibralta Strait) ทางด้านล่างของมหาสมุทร
ในขณะเดียวกันน้ำจากมหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งมีความเค็มน้อยกว่าจะไหลเข้ามาที่
ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางด้านบน
น้ำที่เค็มจัดจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจะกระจายไปในมหาสมุทรแอตแลนติกผสมกับ
น้ำในมหาสมุทรจนกระทั่งไม่มีความแตกต่างระหว่างความเค็มของมวลน้ำทั้งสอง
ขบวนการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับคุณสมบัติต่าง ๆ
ของน้ำในมหาสมุทรเกิดขึ้นช้ามาก โดยภาพรวมจึงมองว่ามหาสมุทรอยู่ในสภาพคงที่
(steady-state condition)
จึงเป็นประโยชน์ที่ทำให้นักสมุทรศาสตร์สามารถใช้ข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้
เมื่อเป็นร้อยปีก่อนกลับมาใช้ได้ เพื่อช่วยให้เข้าใจถึงขบวนการต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นกับมหาสมุทรในปัจจุบัน
ซึ่งในทางปฏิบัติจะเป็นการยากที่จะเก็บข้อมูลทางสมุทรศาสตร์ต่าง ๆ
อย่างสอดคล้องในเวลาเดียวกันได้ (Synoptic oceanography)
และเนื่องจากมหาสมุทรมีอายุอันยาวนานและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่องช้าจน
กว่ามวลน้ำทะเลจะผสมกันอย่างดี
จากการศึกษาพบว่าน้ำที่อยู่ในระดับลึกจะเคลื่อนมาสู่ผิวหน้าน้ำได้ภายในเวลา
1,000-2,000 ปีซึ่งเมื่อเทียบกับอายุของมหาสมุทรซึ่งมีอายุหลายร้อยล้านปี
เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ปริมาณเกลือในน้ำทะเลจะมีปริมาณใกล้เคียงกันไม่
ว่าจะเป็นน้ำจากส่วนใดของมหาสมุทรก็ตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น