วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

ภารกิจค้นหาเที่ยวบิน MH370

การติดตามช่วยเหลือ เที่ยวบิน  MH370 (มาเลเซีย) 01.7 นาทมี สัญญาณครั้งสุดท้าย หลายฝ่ายยังทำงานยังทำงานอย่างหนัก ล่าสุด USA ได้สันนิฐานว่า เครื่องบิน อาจจะตกที่คาบสมุทรอินเดีย



อย่างไรก็ตามข้อมูลภารกิจการติดตามค้นหา ต้องรอการสรุปจากทางมาเลเซีย

ข้อมูลมหาสมุทรอินเดีย

มหาสมุทรอินเดีย เป็นมหาสมุทรที่มีขนาดเล็กที่สุด มีเนื้อที่ประมาณ 74 ล้านตารางกิโลเมตร คิดเป็น 20.6 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่มหาสมุทรทั้งหมดและ 14.5 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ผิวโลกทั้งหมด โดยส่วนใหญ่จะอยู่ทางซีกโลกใต้ มีอาณาเขตดังนี้

เนื่องจากมหาสมุทรอินเดียมีทวีปใหญ่คือทวีปเอเซียและแอฟริกาอยู่ทางตอนบนจึง ทำให้ลักษณะดินฟ้าอากาศบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรจนถึงละติจูด 25 องศาเหนือมีความแตกต่างกันมากในรอบปี โดยเฉพาะในทิศทางลมโดยจะมีลมมรสุม (monsoon) ประจำ 2 ฤดูในแต่ละปี มหาสมุทรอินเดียมีความลึกโดยเฉลี่ย 3,963 เมตร (12,999 ฟุต) มีแม่น้ำใหญ่ไหลลงทางตอนเหนือ ทะเลขอบมหาสมุทรที่สำคัญได้แก่ทะเลอันดามัน (Andaman Sea) และทะเลแดง (Red sea) เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีแหล่งน้ำบางแห่งที่แม้ว่าจะมองไม่เห็นทางติดต่อกับมหาสมุทร อย่างชัดเจน แต่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทร แต่ถูกแยกตัวเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกเช่น ทะเลดำ (Black Sea) เชื่อมต่อทะเลเมดิเตอเรเนียนโดยช่องทางแคบ ๆ มีความกว้างประมาณ 700 เมตร และลึกประมาณ 40 เมตรซึ่งเป็นช่องทางที่ไม่อำนวยให้มีการแลกเปลี่ยนคุณสมบัติระหว่างแหล่งน้ำ ทั้งสองมากนัก และทะเลสาบแคสเปียน (Caspian Sea) ซึ่งเชื่อว่าเคยเป็นส่วนของมหาสมุทรที่แยกตัวในตอนหลัง และมีการแยกตัวในตอนหลังซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของผิวเปลือกโลกและระดับ น้ำของมหาสมุทร
เนื่องจากแอ่งมหาสมุทรมีการเชื่อมโยงติดต่อกันทั้งหมด ดังนั้นขบวนการใดก็ตามที่เกิดขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของมหาสมุทรย่อมมีผลต่อ ไปยังส่วนอื่น ๆ ได้ในที่สุด ตัวอย่างเช่น การที่ภูมิอากาศบริเวณทะเลเมดิเตอเรเนียนมีลักษณะร้อนและแห้งแล้งจะทำให้น้ำ ระเหยได้ง่าย ทำให้น้ำบริเวณนี้มีความเค็มจัดจึงจมตัวลงและไหลออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติก ผ่านช่องแคบยิบรอลต้า (Gibralta Strait) ทางด้านล่างของมหาสมุทร ในขณะเดียวกันน้ำจากมหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งมีความเค็มน้อยกว่าจะไหลเข้ามาที่ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางด้านบน น้ำที่เค็มจัดจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจะกระจายไปในมหาสมุทรแอตแลนติกผสมกับ น้ำในมหาสมุทรจนกระทั่งไม่มีความแตกต่างระหว่างความเค็มของมวลน้ำทั้งสอง
ขบวนการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับคุณสมบัติต่าง ๆ ของน้ำในมหาสมุทรเกิดขึ้นช้ามาก โดยภาพรวมจึงมองว่ามหาสมุทรอยู่ในสภาพคงที่ (steady-state condition) จึงเป็นประโยชน์ที่ทำให้นักสมุทรศาสตร์สามารถใช้ข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้ เมื่อเป็นร้อยปีก่อนกลับมาใช้ได้ เพื่อช่วยให้เข้าใจถึงขบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับมหาสมุทรในปัจจุบัน ซึ่งในทางปฏิบัติจะเป็นการยากที่จะเก็บข้อมูลทางสมุทรศาสตร์ต่าง ๆ อย่างสอดคล้องในเวลาเดียวกันได้ (Synoptic oceanography) และเนื่องจากมหาสมุทรมีอายุอันยาวนานและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่องช้าจน กว่ามวลน้ำทะเลจะผสมกันอย่างดี จากการศึกษาพบว่าน้ำที่อยู่ในระดับลึกจะเคลื่อนมาสู่ผิวหน้าน้ำได้ภายในเวลา 1,000-2,000 ปีซึ่งเมื่อเทียบกับอายุของมหาสมุทรซึ่งมีอายุหลายร้อยล้านปี เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่ปริมาณเกลือในน้ำทะเลจะมีปริมาณใกล้เคียงกันไม่ ว่าจะเป็นน้ำจากส่วนใดของมหาสมุทรก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น